- home
- / user
- / my plants
( ไม่ต้องใส่เครื่องหมาย # )
รหัสต้น : #00038-HB
ชื่อสามัญ : Hidcote Blue Lavender
ชื่อสายพันธุ์ : Lavandula - Angustifolia
ชื่ออื่นๆ : Hidcote, True Hidcote
แหล่งพันธุ์จาก : Import seeds from UK
ชนิดต้นกล้า : เพาะจากเมล็ด
วันที่งอก : 2022-07-07
อายุต้น : 2 ปี 10 เดือน 8 วัน
สภาพแวดล้อมการเลี้ยงที่เหมาะสม
- 1.ความชื้นในดินปลูก ดีที่สุดระหว่าง 25-40% (ค่าต่ำสุด 15% ค่าสูงสุด 60%)
- 2.ค่าความเป็นกรดและด่าง ดีที่สุดระหว่าง PH 5.5-7.5 หรือค่อนไปทางด่าง
- 3.อุณหภูมิอากาศ(วัดในที่ร่ม)ดีที่สุดอยู่ระหว่าง 20-33°C
- 4.ระดับแสงสว่าง มี 3 ระดับตั้งแต่ความต้องการต่ำสุด-สูงสุด
-
- ค่าความเข้มของแสงมี 3 ระดับ
- 1.ช่วงแสงต่ำ คือค่าต่ำสุดที่ต้องการประมาณ “แสงรำไร” 4,000-6,000 Lux
- 2.ช่วงแสงกลาง คือรับแสงแดดแบบมีการ “พรางแสง” 6,000-14,000 Lux
- 3.ช่วงแสงมาก คือรับแสงแดดโดยตรงไม่มีการพรางแสง 14,000–3,6000 Lux
- 4.*ค่า UV Index ในแสงแดดไม่ควรเกินระดับ 10 (หรือไม่เกิน”Very high UV”)
- จากค่าแสงข้างต้น ระยะเวลารับแสงต่อวันให้พิจารณาดังนี้
- หากเป็น”ช่วงแสงต่ำ” ควรหาตำแหน่งที่รับแสงให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
- หากเป็น”ช่วงแสงกลาง” ควรหาที่รับแสงให้ได้อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
- หากเป็น”ช่วงแสงมาก” ควรหาที่รับแสงได้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง โดยพิจารณาดูอุณหภูมิอากาศประกอบถ้าหากอุณหภูมิสูงกว่า 33°C หรือวันที่มีค่า UV Index เกินระดับ 9 ควรย้ายต้นเข้าที่”แสงกลาง”หรือ”แสงต่ำ”
- 5.ความชื้นในอากาศ ระหว่าง 30-80% ค่าที่เหมาะสมคือ 55-75%
- 6.คุณภาพของดิน ระบายน้ำดี มีสารอินทรีย์(ปุ๋ย, Soil fertility) ระดับต่ำถึงปานกลางค่อนข้างน้อย 100-900 µS/cm
จากข้อมูลข้างต้นการดูแลต้นลาเวนเดอร์ในพิจารณาดังต่อไปนี้
“สภาพอากาศ” ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม: (วัดในที่ร่ม) 20-33°C ระดับความชื้นสัมพันธในอากาศ: ดีที่สุด 40%-60% และไม่ควรสูงเกิน 85% ชอบแสงแดด: แต่หากวันไหนวัดอุณหภูมิได้เกิน 33°C ควรนำเข้าที่แสงร่ำไร และให้ระวังการขาดน้ำ ชอบลม: ชอบที่ที่มีลมผ่าน อากาศถ่ายเทสะดวกไม่อับชื้น
“การรดน้ำ” หลักของการรดน้ำต้นไม้คือ"เพื่อรักษาความชื้นในดิน"ต้นไม้จะต้องการน้ำสัมพันธุ์กับปริมาณแสงและความร้อนของอากาศ สำหรับต้นลาเวนเดอร์ทุกสายพันธุ์ควร รดน้ำในตอนเช้าตรู่ก่อนแดดออก วิธีการรดน้ำน้ำนั้นให้รดที่ขอบกระถางด้านในนับเป็นรอบโดยใช้หัวฝักบัวแรงเบาวน 1 รอบ(ไม่ควรรดที่โคนต้น) แล้วพักไว้ประมาณ 5-10 วินาที ถ้าไม่มีน้ำไหลออกทางก้นกระถางเลยให้รดเพิ่มอีก 1 รอบและทำต่อไปจนเห็นน้ำไหลออกที่ก้นกระถางก็ถือว่าจบการรดน้ำประจำวัน
สำหรับวันที่อากาศร้อนจัดเกิน 35 องศา(วัดในที่ร่ม)แล้วแดดจัด อาจจะต้องรด 2 ครั้ง โดยดูสิของหินภูเขาไฟที่ปิดหน้าดินประกอบถ้าสีออกไปทางขาวทั่วทั้งกระถางแสดงว่า ดินปลูกเริ่มแห้งจากอากาศร้อนจัดแบบนี้คุณสามารถรดน้ำเพิ่มได้อีกครั้ง
สำหรับต้นลาเวนเดอร์ควรหลีกเลี่ยงการรดน้ำตอนค่ำ ยกเว้นตอนเช้าคุณไม่ได้รดน้ำ ทั้งนี้เพราะต้นลาเวนเดอร์จะกินน้ำสัมพันธุ์กับแสงและอุณหภูมิ การรดน้ำตอนเย็นหรือค่ำไม่มีประโยชน์อันได ยกเว้นต้นของท่านถูกปล่อยให้ขาดน้ำมาเกิน 2 วัน
“ดินปลูก” สำหรับดินปลูกต้นลาเวนเดอร์จากเราทุกต้นได้ปรับสูตรดินปลูกสำหรับต้นลาเวนเดอร์ของท่านมาโดยเฉพาะแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนดินปลูก ยกเว้นที่กรณีที่ต้องการเปลี่ยนกระถางคุณสามารถใช้สูตรการผสมดินด้านล่างผสมเพื่อเปลี่ยนกระถางได้ และเราไม่แนะนำให้ใช้กับมะพร้าวสับหรือดินชนิดอื่นกับต้นลาเวนเดอร์จากเรา
“ปุ๋ยอินทรีย์+ปุ๋ยละลายช้า” ลาเวนเดอร์ไม่ต้องการปุ๋ยหลัก NPK มากนัก หากจะให้ปุ๋ยควรให้ปุ๋ยหมักตากแห้ง 1 กำมือรองไว้ที่ก้นกระถางทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนกระถางใหม่หรือเฉลี่ยปี 1 ครั้ง ที่เหลือคุณสามารถให้ปุ๋ยละลายช้าเช่น ออสโมคอส หรือ เทอโมคอส ก็ได้ทุกๆ 6 เดือน 1 ครั้งหรือปีละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 6-8 เมล็ดต่อต้น ถ้าคุณใส่มากต้นอาจจะน๊อกปุ๋ยและไม่ออกดอก
“ธาตุอาหารเสริม” ต้นที่อายุเกิน 6 ขึ้นไปในช่วงที่ใกล้ออกดอกควรทำการให้อาหารเสริมชนิดฉีดพ่นทางใบโดยเฉพาะที่มี ธาตุแคลเซี่ยม และ โบรอนเพิ่มเติมทุกๆ 7-10 วัน จะช่วยให้สีดอกและกลิ่นของต้นจัดจ้านขึ้น และให้อีกครั้งเมื่อมีการตัดแต่งกิ่งเพื่อแต่งทรง
“ข้อควรระวังในการเลี้ยง”
- 1. ไม่วางกระถางที่เลี้ยงลาเวนเดอร์ไว้บนพื้นซีเมนต์หรือพื้นใดๆที่รับแสงแดดโดยตรง ควรหาที่วางบนตะแกรงโรงเรือนที่สามารถเปิดให้อากาศถ่ายเทที่ก้นกระถางได้ หรือสูงจากพื้นอย่างน้อย 30 ซม.
- 2. ไม่วางกระถางไว้ในจานรองกระถางที่มีน้ำขัง หรือหากต้องการวางในจานรองต้องให้แน่ใจว่าน้ำส่วนเกินหลังการรดน้ำไหลออกจากกระถางจนหมดแล้ว ซึ่งโดยปกติประมาณ 20 นาที
- 3. ไม่วางกระถางต้นในตำแหน่งที่โดนน้ำฝน ลาเวนเดอร์เป็นต้นไม้กึ่งทะเลทรายไม่ชอบการโดนฝนปานกลาง-ฝนหนัก หรือฝนเบาที่ตกติดต่อกันนานเกิน 20 นาที ควรนำกระถางเข้าใต้ชายคาหรือโรงเรือน
- 4. เปลี่ยนด้านที่รับแสงทุกๆ 7 วัน กรณีที่ท่านไม่ได้วางกระถางไว้รับแสงแบบพื้นที่เปิดเช่นวางริมหน้าต่างควรหันกระถางเปลี่ยนด้านรับแสงทุกๆ 3-5 วัน เพื่อให้ต้นเอียงเข้าหาแสงด้านใดด้านหนึ่งมากเินไป
ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อน แม้ลาเวนเดอร์จะชอบอากาศร้อนระหว่าง 29-35°C แต่ฤดูร้อนในเมืองไทยอาจจะสูงถึง 39-41°C สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการเลี้ยงในฤดูร้อนคือ
1. “อย่าให้ต้นขาดน้ำ” ในช่วงฤดูร้อนต้นลาเวนเดอร์จะดึงน้ำจากดินปลูกจำนวนมาก ในวันที่อากาศร้อนจัดตั้งแต่ 33-35°C ขึ้นไปอาจะพบอาการช่อตกยอดตก ควรเช็คดูดินปลูกถ้าดินปลูกแห้งควรรดน้ำที่ดินปลูก(ไม่รดที่พุ่มหรือใบ)เพิ่มเติม ภายใน 20 นาทีช่อหรือยอดจะกลับมาตั้งตรงเช่นเดิม / การรดน้ำให้ระหว่างวัน ระวังน้ำร้อนค้างท่อควรปล่อยให้น้ำที่รดไหลออกไปก่อนจนเป็นน้ำอุณหภูมิปกติจึงค่อยรดที่ดินปลูก
2. “กรณีอุณหภูมิเกิน 33°C ขึ้นไป” หากรดน้ำเพิ่มแล้วยอดหรือกิ่งไม่ฟื้นขึ้นมาตั้งเช่นเดิมอาจจะต้องพิจารณา ย้ายต้นหลบเข้าไปอยู่ที่แสงรำไรหรือใต้ชายคาเพื่อลดความร้อน โดยเฉพาะช่วงทีี่เกิดคลื่นความร้อน (Heatwave) และหลีกเลี่ยงการวางต้นไว้ใกล้กำแพงที่สะท้อนความหรือมีการสะสมความร้อนเช่นกระเบื้อง แผงโลหะ หรือพื้นซีเมนต์โดยตรง โดยเฉพาะในช่วง 11 โมงเช้า-บ่าย 3 โมง
3. “ระวังพายุฤดูร้อน” ประมาณ 19 เมษายนถึง 15 พฤษภาคม จะเป็นช่วงที่อาจจะเกิดพายุฤดูร้อนได้ง่าย ควรนำต้นหลบเข้าใต้ชายคาจุดที่มีแสงและไม่อับลมไว้ก่อน เพราะก่อนจะเกิดพายุฤดูร้อนมักจะมีอากาศร้อนจัด 37-39°C ต่อด้วยฝนตกหนักในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงและเมื่อพายุผ่านไปก็จะกลับมาร้อนจัดอีกครั้ง ซึ่งหากปล่อยให้ต้นตากฝนในช่วงนี้อาจจะเกิดอาการน๊อกอากาศ ทำให้ต้นเฉาและค่อยแห้งตายได้
เราควรเปลี่ยนกระถางเมื่อ
- 1. เมื่อพุ่มต้นกว้างกว่ากระถางมากกว่า 1.5 เท่าขึ้นไปและตัดแต่งทรงมาแล้ว 1 ครั้งใน 1 ปี
- 2. เมื่อต้นอายุเกิน 1 ปี และไม่เคยเปลี่ยนกระถางมาก่อน
- 3. เมื่อต้องรดน้ำให้ต้นมากกว่า 2 ครั้งต่อวันเพราะปริมาณดินปลูกในกระถางเดิมน้อยเกินขนาดต้น กระถางจะเบาลงเวลายก
การเลือกขนาดกระถางที่เหมาะสม
- 1. สำหรับพันธุ์ขนาดกลาง-ใหญ่อย่าง English Lavender, Munstead, Grosso, Aromatico, Siesta, Papillon ควรใช้กระถาง 10-12 นิ้วหลังจากต้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป
- 2. สำหรับพันธุ์ขนาดกลางอย่าง Hidcote, Munstead Dwarf ควรใช้กระถางไม่เกิน 8-10 นิ้ว (ไม่เกิน)
- 3. สำหรับเพันู์เล็กหรือพันธุ์ Dwarf อย่าง Spicata Muffet, Mini Blue, Dwarf Blue, Blue Spear ใช้กระถางไม่เกิน 8 นิ้ว
วัสดุผสมและวิธีการผสมดินปลูก(คลิกที่ภาพดูภาพขยาย)
เนื่องจากดินปลูกที่มินิฟาร์มของเราใช้นั้นเป็นดินปลูกที่ผสมขึ้นเฉพาะต้นลาเวนเดอร์ กรณีที่ต้องการเปลี่ยนกระถางและสะดวกที่จะผสมตามวิธีของเราให้จัดส่วนผสมตามนี้ครับ
วัสดุผสมดิน
- 1. พิทมอส (Peatmoss)
- 2. *ปุ๋ยหมักวรวุฒิ ** ดูข้อมูลส่วนเพิ่มเติม **
- 3. เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite)
- 4. หินภูเขาไฟ เบอร์ 00 (Pumice Stone: Size 00)
- 5. หินภูเขาไฟ เบอร์ 00 (Pumice Stone: Size 01)
- 6. หินภูเขาไฟ เบอร์ 02 (Pumice Stone: Size 02)
การผสมดินปลูก(คลิกที่ภาพดูภาพขยาย)
ใช้พีทมอส 3 ส่วน ผสมกับปุ๋ยหมักคุณวรวุฒิ 2 ส่วน คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวและแตกก้อนปุ๋ยหรือพิทมอสที่จับตัวเป็นก่อนออกให้หมดจนเมื่อเข้ากันดีแล้ว หินภูเขาไฟเบอร์ #00 3 ส่วน + เวอร์มิคูไลท์อีก 1 ส่วน คลุกจนเข้ากันดีแล้วค่อยน้ำไปใช้ *หากไม่มีเวอร์มิคูไลท์สามารถใช้เพอไลท์แทนได้
การวางชั้นดินปลูกในกระถาง
ในกระถางใหม่ที่ท่านเตรียมวางต้นให้นำหินภูเขาไฟเบอร์ 02 รองที่ก้นกระถางให้หนาประมาณ 1-2 นิ้ว จากนั้นเทดินปลูกที่ผสมไว้แล้วจำนวนนึงโดยทดลองวางต้นที่ถอดจากกระถางเดิมลงไป โดยดูว่าขอบบนของดินจากกระถางเดิมจะต้องต่ำกว่าขอบกระถางใหม่อย่างน้อย 2 เซนติเมตร ก่อนเทดินปลูกใหม่ลงรอบกระถางจนถึงขอบพอดีกับดินจากกระถางเดิม เมื่อได้ระดับเท่ากันกับดินปลูกของกระถางเดิมแล้ว ให้ตบไปรอบๆตัวกระถางเพื่อให้ดินปลูกใหม่เข้าไปแทนที่ช่องว่าง "โดยไม่ต้องกดอัดหน้าดิน" จากนั้นโรยปิดหน้าดินด้วยหินภูเขาไฟเบอร์ 02 "จนเกือบถึงขอบกระถางใหม่" ตามด้วยการรดน้ำปล่าที่ขอบกระถางด้านในจนน้ำเริ่มไหล่ออกจากก้นกระถางก็หยุดรดน้ำแล้วปล่อยให้น้ำส่วนเกินไหลออกจนหมด จึงค่อยนำไปจัดวางตามจุดที่ท่านต้องการ
** ข้อมูลเพิ่มเติมปุ๋ยหมักวรวุฒิ **
สำหรับปุ๋ยหมักคุณวรวุฒิ เป็นปุ๋ยหมักคุณภาพสูง ที่เราคัดเลือกใช้กับมินิฟาร์มของเราทุกช่วงอายุของต้นลาเวนเดอร์ คุณสามารถติดต่อสั่งซื้อได้โดยตรงที่ : Line : @worawoot501 หรือโทร: 0818677203 โดยแจ้งว่าติดต่อสั่งซื้อจากลูกค้าจาก Lavandulalover.com
©2020, Lavandulalover.com